บริการของเรา
ความแตกต่างของ RPA กับ AI
เลือกใช้งานยังไงให้เหมาะสมกับองค์กร?
RPA (Robotic Process Automation) และ AI (Artificial Intelligence) กำลังได้รับความนิยมจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันและการทำงานกันมากขึ้น
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขององค์กร
RPA หรือ Robotic Process Automation คือ ซอร์ฟแวร์หุ่นยนต์ที่ถูกออกแบบมา
เพื่อเลียนแบบการทำงานของมนุษย์ โดยมีรูปแบบการทำงานแบบซ้ำ ๆ เป็นการกำหนดรูปแบบอย่างชัดเจน
AI หรือ Artificial Intelligence คือ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ที่มีการทำงาน โดยพยายามเลียนแบบความฉลาดของมนุษย์
สามารถคิดวิเคราะห์และตัดสินใจเองได้ รวมถึงมีการเรียนรู้และพัฒนาได้เอง
RPA และ AI มีความแตกต่างกันอย่างไร ?
1 ความสามารถในการเรียนรู้
RPA : มีการเรียนรู้และทำงานตามรูปแบบและคำสั่งที่ตั้งไว้ เป็นการทำงานแบบซ้ำๆ
AI : สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่และปรับเปลี่ยนวิธีการ พฤติกรรมการทำงานได้ด้วยตัวเอง
2 การทำงานที่ซับซ้อน
RPA : เหมาะกับการทำงานที่มีรูปแบบและขั้นตอนชัดเจน มีการทำงานซ้ำ ๆ และไม่มีกระบวนการซับซ้อน
AI : จัดการกับงานที่มีความซับซ้อนได้ สามารถวิเคราะห์และตัดสินใจ มีการเรียนรู้ เพื่อปรับเปลี่ยนการทำงานได้อย่างเหมาะสม
3 การจัดการข้อมูล
RPA : จัดการกับข้อมูลที่มีโครงสร้างและรูปแบบการทำงานที่ชัดเจน มีรูปแบบการทำงานแบบเดิม
AI : สามารถจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความหลากหลายได้
4 ความยืดหยุ่น
RPA : มีกระบวนการทำงานที่พึ่งพามนุษย์ในการจัดวางระบบและปรับเปลี่ยนการทำงาน
AI : มีการปรับตัวตามสถานการณ์ต่าง ๆ ได้หลากหลายจากการเรียนรู้ได้เอง
ตัวอย่างการใช้งานในธุรกิจ
RPA เหมาะกับการนำมาใช้ในธุรกิจที่มีกระบวนการทำงานในรูปแบบเดิม มีกระบวนการทำงานแบบซ้ำๆ โดยเหมาะกับงานที่มีลักษณะการทำงาน ดังนี้
AI เหมาะกับการนำมาใช้ในธุรกิจหลากหลาย สามารถนำมาใช้ในภาคส่วนต่าง ๆ ได้ โดยเหมาะกับงานที่มีลักษณะการทำงาน ดังนี้
ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ตลาดและความต้องการของลูกค้า
มีการประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก เช่น การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า, การตรวจสอบความผิดปกติทางบัญชี
มีการใช้การตัดสินใจในการทำงาน เช่น การวิเคราะห์แนวโน้มตลาด, การตรวจจับความเสี่ยง, การคัดกรองเรซูเม่
การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการดำเนินธุรกิจไม่ว่าจะเป็น RPA หรือ AI ก็ตามเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้เหมาะสมกับความต้องการแต่ละรูปแบบ
ในการทำงานขององค์กร ทั้งยังเป็นการขับเคลื่อนให้ธุรกิจเกิด Digital Transformation ส่งเสริมให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างก้าวหน้า
วันที่ 18 มิ.ย. 2568
Digital Transformation คือ การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจ เพื่อประสิทธิภาพและความรวดเร็ว โดยนำมาใช้ในการวางรากฐาน เป้าหมายและการดำเนินธุรกิจ ซึ่ง Digital Transformation ไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดจึงเปรียบเสมือน “การเปลี่ยนผ่าน” ที่แท้จริงสู่ยุคดิจิทัล เป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน วัฒนธรรมองค์กร ไปจนถึงรูปแบบธุรกิจ ด้วยการใช้เทคโนโลยีเป็นตัวเร่งให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตอบโจทย์การทำงานและความต้องการของกลุ่มป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งมีประโยชน์ต่อองค์กร ดังนี้
บทความ
วันที่ 22 พ.ค. 2568
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้ในปัจจุบันข้อมูลกลายเป็นสิ่งสำคัญและมีมูลค่ามหาศาล ข้อมูลจึงเปรียบเสมือน “หัวใจสำคัญ” ในการดำเนินการขับเคลื่อนธุรกิจ การจัดเก็บและจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นต่อองค์กร
บทความ
วันที่ 22 พ.ค. 2568
การเข้าถึงบริการทางสุขภาพเป็นสิ่งที่จำเป็นแต่ด้วยข้อจำกัดไม่ว่าจะเป็นระยะทางหรือเวลา รวมถึงปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย เป็นสาเหตุให้การเข้าถึงการแพทย์เป็นเรื่องที่ยากลำบาก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวที่ต้องเดินทางมาพบแพทย์เป็นประจำ นอกจากนี้ปัญหาความแออัดที่ผู้ป่วยจำนวนมาต้องรอคิวหลายชั่วโมงเพื่อพบแพทย์ ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงลดคุณภาพในการให้บริการ แต่ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจและสุขภาพของผู้ป่วยโดยรวมอีกด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในบริการทางการแพทย์ จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้
บทความ