Background
บทความ

ความแตกต่างของ RPA กับ AI เลือกใช้งานยังไงให้เหมาะสมกับองค์กร?

ลงเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2568

FacebookLineTwitter
ความแตกต่างของ RPA กับ AI
เลือกใช้งานยังไงให้เหมาะสมกับองค์กร?

ความแตกต่างของ RPA กับ AI

เลือกใช้งานยังไงให้เหมาะสมกับองค์กร?


RPA (Robotic Process Automation) และ AI (Artificial Intelligence) กำลังได้รับความนิยมจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันและการทำงานกันมากขึ้น

โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขององค์กร


RPA หรือ Robotic Process Automation คือ ซอร์ฟแวร์หุ่นยนต์ที่ถูกออกแบบมา

เพื่อเลียนแบบการทำงานของมนุษย์ โดยมีรูปแบบการทำงานแบบซ้ำ ๆ เป็นการกำหนดรูปแบบอย่างชัดเจน


AI หรือ Artificial Intelligence คือ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ที่มีการทำงาน โดยพยายามเลียนแบบความฉลาดของมนุษย์

สามารถคิดวิเคราะห์และตัดสินใจเองได้ รวมถึงมีการเรียนรู้และพัฒนาได้เอง


RPA และ AI มีความแตกต่างกันอย่างไร ? 


1 ความสามารถในการเรียนรู้

RPA : มีการเรียนรู้และทำงานตามรูปแบบและคำสั่งที่ตั้งไว้ เป็นการทำงานแบบซ้ำๆ

AI : สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่และปรับเปลี่ยนวิธีการ พฤติกรรมการทำงานได้ด้วยตัวเอง

 

2 การทำงานที่ซับซ้อน

RPA : เหมาะกับการทำงานที่มีรูปแบบและขั้นตอนชัดเจน มีการทำงานซ้ำ ๆ และไม่มีกระบวนการซับซ้อน 

AI : จัดการกับงานที่มีความซับซ้อนได้ สามารถวิเคราะห์และตัดสินใจ มีการเรียนรู้ เพื่อปรับเปลี่ยนการทำงานได้อย่างเหมาะสม


3 การจัดการข้อมูล

RPA : จัดการกับข้อมูลที่มีโครงสร้างและรูปแบบการทำงานที่ชัดเจน มีรูปแบบการทำงานแบบเดิม

AI : สามารถจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความหลากหลายได้ 


4 ความยืดหยุ่น

RPA : มีกระบวนการทำงานที่พึ่งพามนุษย์ในการจัดวางระบบและปรับเปลี่ยนการทำงาน

AI : มีการปรับตัวตามสถานการณ์ต่าง ๆ ได้หลากหลายจากการเรียนรู้ได้เอง


ตัวอย่างการใช้งานในธุรกิจ


RPA เหมาะกับการนำมาใช้ในธุรกิจที่มีกระบวนการทำงานในรูปแบบเดิม มีกระบวนการทำงานแบบซ้ำๆ โดยเหมาะกับงานที่มีลักษณะการทำงาน ดังนี้ 


  • งานที่มีกระบวนการทำงานซ้ำๆ มีกระบวนการทำงานในรูปแบบเดิม เช่น การแตกไฟล์ (Extract) และ Zip ไฟล์ เป็นต้น 


  • งานที่มีกระบวนการไม่ซับซ้อน มีการทำงานที่รวดเร็ว ปริมาณเยอะและไม่ซับซ้อน เช่น การจัดเก็บข้อมูล ประมวลผลและการสร้างเอกสารต่างๆ


  • งานที่มีการทำอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจที่ต้องทำงานแบบต่อเนื่องหรือตลอดเวลา  เช่น การลงข้อมูล ติดตามการซื้อขาย และตอบสนองความต้องการของลูกค้า


AI เหมาะกับการนำมาใช้ในธุรกิจหลากหลาย สามารถนำมาใช้ในภาคส่วนต่าง ๆ ได้ โดยเหมาะกับงานที่มีลักษณะการทำงาน ดังนี้ 


  • งานที่มีกระบวนการทำงานแบบยืดหยุ่น - มีการทำงานที่ต้องมีการวิเคราะห์และ

ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ตลาดและความต้องการของลูกค้า 


  • งานที่มีกระบวนการที่ซับซ้อน - งานที่มีรูปแบบการทำงานที่หลากหลาย

มีการประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก เช่น การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า, การตรวจสอบความผิดปกติทางบัญชี


  • งานที่ต้องมีการตัดสินใจจากรูปแบบ - ธุรกิจที่ต้องมีการวางแผนและคาดการณ์

มีการใช้การตัดสินใจในการทำงาน เช่น การวิเคราะห์แนวโน้มตลาด, การตรวจจับความเสี่ยง, การคัดกรองเรซูเม่ 


การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการดำเนินธุรกิจไม่ว่าจะเป็น RPA หรือ AI ก็ตามเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้เหมาะสมกับความต้องการแต่ละรูปแบบ

ในการทำงานขององค์กร ทั้งยังเป็นการขับเคลื่อนให้ธุรกิจเกิด Digital Transformation ส่งเสริมให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างก้าวหน้า


แท็กที่เกี่ยวข้อง:

ข่าวสารที่เกี่ยวข้อง

Digital Transformation การเปลี่ยนผ่านสู่…ธุรกิจยุคใหม่อย่างยั่งยืน

วันที่ 18 มิ.ย. 2568

Digital Transformation การเปลี่ยนผ่านสู่…ธุรกิจยุคใหม่อย่างยั่งยืน

บทความ

 Data Center ในประเทศไทย เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

วันที่ 22 พ.ค. 2568

Data Center ในประเทศไทย เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

บทความ

 พบแพทย์ออนไลน์ ด้วย Telemed ให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ

วันที่ 22 พ.ค. 2568

พบแพทย์ออนไลน์ ด้วย Telemed ให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ

บทความ

inet

© Copyright 2024, Internet Thailand Public Company Limited.